วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข้อดีและข้อเสียของการดื่มแอลกอฮอล์


ข้อดีและข้อเสียของการดื่มเบียร์ เหล้า แอลกอฮอล์มีโทษต่อร่างกาย คิดก่อนดื่ม เพื่อสุขภาพของตนเอง
การดื่มเบียร์ มีประโยชน์หรือมีโทษต่อร่างกาย ยังเป็นประเด็นถกเถียงในทางวิชาการ บางทีการกล่าวว่า ดื่มเบียร์มีประโยชน์ แท้จริงก็อาจเป็น การให้เหตุผลเพื่อสนับสนุนให้มีการดื่มและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ ของบริษัทผู้ผลิต ขณะเดียวกัน การกล่าวว่า การดื่มเบียร์ มีแต่โทษต่อร่างกาย ก็อาจเป็นการละเลยคุณค่าบางอย่างที่มีประโยชน์จากเครื่องดื่มประเภทเบียร์หรือไวน์ ANANTASOOK จึงขอรวบรวม ข้อดีและข้อเสียของการดื่มเบียร์มาฝากกัน เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ประกอบในการตัดสินใจ ดื่มหรือไม่ดื่ม ในแต่ละครั้ง

ข้อดีของการดื่มเบียร์ ที่มีการศึกษาและเผยแพร่ทั่วไป มีดังนี้
1. ป้องกันโรคหัวใจ : จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า วิตามินบี 6 ในเบียร์ช่วยลดการก่อตัวของ กรดอมิโน โฮโมซิสตีน ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของโรคหัวใจ ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 4060% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน (ราว 2 แก้วต่อวัน)
2. ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์อัมพาต : สารที่มีประโยชน์ในเบียร์ ช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์อัมพาตได้
3. ช่วยลดความดันโลหิต : แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
4. ป้องกันเบาหวาน : ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดีนักดื่มเบียร์จึง ไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
5. ช่วยให้กระดูกแข็งแรง : เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูกสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น
6. ช่วยให้อายุยืน : จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 12 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาวเนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ
7. ป้องกันท้องร่วง : โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย
8. ต้านความเครียด : นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์
9. ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต : นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียมซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรค นิ่วในไตได้ถึง 40%
10. ป้องกันโรคนอนไม่หลับ : สารจากดอก Hops ในเบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ช่วยลดอาการเครียดและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
11. ช่วยต้านมะเร็ง : เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็งโดยการดักจับอนุมูลอิสระตัว ร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง
12. ช่วยให้ผิวสวย : ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซินซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม



ข้อเสียของการดื่มเบียร์
เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทุกชนิดทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย โดยเฉพาะกับตับ  ซึ่งต้องทำงานหนักเป็นพิเศษเวลาที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เข้าไป ตับเป็นอวัยวะที่ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย แต่ถ้าตับเสียหาย ร่างกายก็จะเต็มไปด้วยพิษ แถมที่สำคัญเบียร์ทำให้บวมอ้วนอีกด้วย นอกจากนี้การดื่มมากๆ ทำให้เกิดอาการเมา ขาดสติสัมปชัญญะ เมื่อขับขี่รถอาจเกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ชีวิต และเป็นสาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งและก่ออาชญากรรมได้ และที่สำคัญพอๆ กัน คือ การดื่มเบียร์ทำให้เสียเงิน เพราะต้องซื้อและมีราคาแพง (กว่าน้ำ)

ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดี ก็ไม่ควรดื่มเบียร์เลย กินน้ำสะอาดดีที่สุด แต่ถ้าจะดื่มเบียร์ ก็ต้องคิดให้ดีว่า ร่างกายเราพร้อมแค่ไหนก่อนดื่ม และควรดื่มพอประมาณ และถูกกาลเทศะ ไม่มากเกินไป เพราะอะไรที่มากเกินไปก็จะส่งผลที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้

10 อันดับ น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

10 อันดับ น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

 1. น้ำแครอท  อุดมไปด้วยแคลเซียม โปแตสเซียม และแมกนีเซียมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมถึงแคโรทีนที่สามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอภายในร่างกายมนุษย์และดูดซึมไปใช้ได้ทันที น้ำแครอทยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็งได้


2. น้ำบีทรูท - มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง อุดมด้วยโปแทสเซียม เหล็ก วิตามินซี และแมกนีเซียม ช่วยรักษาผู้ป่วยที่มีอาการสูญเสียความทรงจำและสมาธิสั้น และยังช่วยลดความเสียหายของร่างกายในผู้หญิงที่มีปัญหาปวดประจำเดือนอีกด้วย


3. น้ำแคลนเบอรี่  มีวิตามินซีสูง เป็นที่รู้จักกันดีว่าน้ำแคลนเบอรี่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่เป็นปัญหาของผู้หญิงทั่วโลก สามารถนำไปปั่นกับกล้วยหอมเพื่อช่วยเพิ่มคุณค่าทางวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย และล่าสุดยังพบว่าน้ำแคลนเบอรี่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชิ้ออีโคไลที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะได้

4. น้ำลูกแพร์  นับเป็นน้ำผลไม้ที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเพื่อการเสริมสร้างสุขภาพ โดยตัวน้ำลูกแพร์อย่างเดียวก็ให้ผลที่ดีแต่ก็สามารถผสมกับน้ำชนิดอื่นๆเพื่อเพิ่มสรรพคุณได้ มีวิตามินซี แคลเซียม โปแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ในปริมาณสูงซึ่งล้วนเป็นแร่ธาตุจำเป็นของร่างกาย



5. น้ำองุ่น  น้ำผลไม้สีม่วงนี้ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์สมองเสื่อม และช่วยในเรื่องความจำ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคในร่างกาย

6. น้ำส้ม  น้ำที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและสุขภาพแท้ๆร้อยเปอร์เซ็นต์ อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มอัตราไหลเวียนของเลือดในร่างกาย และอัตราการดูดซึมสารอาหาร จุดเด่นอยู่ที่วิตามินซีและฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่สูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและต้านเชื้อโรค




7. น้ำมะม่วง  ช่วยป้องกันโรคมะเร็งหลากหลายชนิด ช่วยทำความสะอาดโลหิตอันจะทำให้สุขภาพดีขึ้น อีกอย่างคือช่วยบำรุงไต น้ำมะม่วงมีรสชาติดี เอาไปผสมกับน้ำผลไม้อื่นเพื่อเพิ่มรสชาติได้ เช่น กีวีหรือกล้วย



8. น้ำบลูเบอรี่  ถ้าดูแค่สีอย่างเดียวเราก็พอจะเดาได้ ว่าเป็นน้ำที่เปี่ยมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี และเส้นใยอาหาร นับว่าบำรุงสุขภาพแบบครบวงจรเลยทีเดียว อย่างนี้ต้องลอง



9. น้ำทับทิม  ถ้าคุณอยากมีหัวใจที่ดีต้องดื่มน้ำทับทิม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนักโภชนาการล้วนแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้นี้ น้ำทับทิมเพียงอย่างเดียวให้สารต้านอนุมูลอิสระที่แทบจะครบทุกชนิด นับว่ามีประโยชน์มากสำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง




10. น้ำองุ่นคอนคอร์ด(Concord Grape Juice)  หากคุณกำลังเป็นโรคความดันโลหิตสูงและโรคอื่นๆที่เกี่ยวข้องล่ะก็ น้ำองุ่นพันธุ์นี้คือคำตอบของคุณ เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในปริมาณมากและเข้มข้นด้วยจนกระทั่งสามารถลดความดันเลือดได้ ทั้งยังช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรงและลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆอีกด้วย




ตักบาตรเทโว (อุทัยธานี)


ตักบาตรเทโว (Tak Bat Devo )หมายถึงการทำบุญตักบาตร ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก คำว่า เทโว เรียกกร่อนมาจากคำว่า เทโวโรหณะ (เทว+โอโรหณ) ซึ่งแปลว่า การเสด็จลงจากเทวโลก
ความเดิมมีว่า ในพรรษาที่ 7 นับแต่วันตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อเทศน์โปรดพระพุทธมารดา ที่ได้กำเนิดเป็นเทพบุตรอยู่ในชั้นดุสิต จนบรรลุโสดาปัตติผล ครั้นออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 แล้ว จึงเสด็จลงจากเทวโลกที่เมืองสังกัสสนคร ในกาลที่เสด็จลงจากเทวโลก ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก เมื่อทรงแลดูข้างล่าง สถานที่นั้นก็มีเนินอันเดียวกันจนถึงอเวจีมหานรก ทรงแลดูทิศใหญ่และทิศเฉียง จักรวาลหลายแสนก็มีเนินเป็นอันเดียวกัน เทวดาก็เห็นพวกมนุษย์ แม้พวกมนุษย์ก็เห็นเทวดา สัตว์นรกก็เห็นมนุษย์และเทวดา ต่างก็เห็นกันเฉพาะหน้าทีเดียว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี ขณะที่พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
รุ่งขึ้นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ชาวเมืองจึงพากันทำบุญตักบาตรเป็นการใหญ่ เพราะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้ามาถึง 3 เดือน การทำบุญตักบาตรในวันนั้นจึงได้ชื่อว่าตักบาตรเทโวโรหณะ ต่อมามีการเรียกกร่อนไปเหลือเพียง ตักบาตรเทโว
เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น จึงนิยม ตักบาตรเทโว กันจนเป็นประเพณีสืบมาตราบเท่าทุกวันนี้


ประวัติความเป็นมา
          ประเพณีการตักบาตรเทโวโรหณะมีดังนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนอยู่เป็นประจำ ณ นครสาวัตถี จนมีประชาชนจำนวนมากหันมาเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงเป็นเหตุทำให้เหล่าเดียรถีย์เสื่อมลง (เดียรถีย์ หมายถึง นักบวชประเภทหนึ่งมีมาก่อนพระพุทธศาสนาและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง มีพุทธบัญญัติว่า หากเดียรถีย์จะมาขอบวชในพระพุทธศาสนาต้องมารับการฝึก เพื่อตรวจสอบว่ามีความเลื่อมใสแน่นอนเสียก่อน เรียกว่า ติตถิยปริวาส) พวกเดียรถีย์เดือดร้อนเนื่องจาก เครื่องถวายสักการะก็ลดน้อยลงตามไปด้วย จึงคิดหาวิธีที่จะทำลายพระพุทธศาสนาโดยการกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า สาวก แต่ประชาชนก็ยังเลื่อมใสศรัทธาเหมือนเคยในที่สุดเดียรถีย์จึงใช้อุบายทำลายพระพุทธศาสนาโดยการใช้พุทธบัญญัติที่ว่ามั่นใจว่าพระพุทธเจ้าไม่กล้า ฝ่าฝืนข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้เอง จึงช่วยกันกระจายข่าวให้ประชาชน ได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกสิ้นท่าหมดอิทธิฤทธิ์ แล้วงดการแสดง ตรงข้ามกับเหล่าคณาจารย์เดียรถีย์ ซึ่งมีปาฏิหาริย์อบรมมั่นคงเต็มที่และมีความพร้อมที่จะแสดงให้เห็นได้ทุกเมื่อถ้าไม่เชื่อก็เชิญพระพุทธเจ้ามาแสดงปาฏิหาริย์แข่งกันก็ย่อมได้เพื่อพิสูจน์ว่าใครจะเก่งกว่าใคร ฝ่ายพระพุทธเจ้าและสาวกก็เงียบเฉย เดียรถีย์จึงกล่าวร้ายหนักอีกว่า พระพุทธเจ้าไม่มีความสามารถในการแสดงอิทธิฤทธิ์เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงคิดใคร่ครวญและตัดสินใจที่จะแสดงปาฏิหาริย์ให้พวกเดียรถีย์ได้ประจักษ์เพื่อไม่ให้พระพุทธศาสนาโดนย่ำยี โดยพระองค์ได้ประกาศว่าจะแสดงยมกปาฏิหาริย์ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ณ ใต้ต้นมะม่วง เมื่อฝ่ายเดียรถีย์รู้ ความดังนั้นจึงแบ่งพวกให้ไปทำลายต้นมะม่วงทุกต้นในเมืองสาวัตถี อีกพวกก็ช่วยกันสร้างมณฑปเพื่อแสดงปาฏิหาริย์ของตน และประกาศให้ประชาชนมาชมความล้มเหลวของพระพุทธองค์ เมื่อถึงกำหนดก็เกิดพายุใหญ่ทำให้มณฑปของเดียรถีย์พังหมดสิ้นส่วนพระพุทธเจ้ายังมิได้แสดงปาฏิหาริย์แต่อย่างใด ในวันนั้นเอง คนเฝ้าพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่อว่า นายคัณฑะ ได้ถวายมะม่วงผลหนึ่งแก่พระพุทธเจ้าเนื่องจากมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์ พระพุทธองค์จึงสั่งให้พระอานนท์นำมะม่วงไปทำน้ำปานะ (ปานะ หมายถึง น้ำ ของสำหรับดื่ม) มาถวายและเอาเมล็ดมะม่วงวางบนดิน เมื่อทรงฉันน้ำปานะเสร็จ ก็ทรงล้างพระหัตถ์โดยให้น้ำรดลงบนเมล็ดมะม่วง ทันใดนั้นเอง ก็กลายเป็นต้นมะม่วงที่งอกเงยขึ้นมาและต้นใหญ่ หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงปาฏิหาริย์เนรมิตช่อไฟ ช่อน้ำเนรมิต บุคคลที่เหมือนพระองค์ทุกประการ ทรงแสดงธรรม จงกรม พระพุทธนิมิตให้ประชาชนได้ประจักษ์แก่สายตาจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาโดยทั่วกัน ส่วนเดียรถีย์จึงโดนประชาชนสาปแช่งจนย่อยยับกลับไป วันนรุ่งขึ้นเป็นวันเข้าพรรษา พระองค์ประกาศว่าจะไปจะพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงต้องการเทศนาโปรดพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา เพื่อเป็นการสนองพระคุณ ดังนั้นพระองค์จึงได้เทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน เมื่อถึงวันออกพรรษาพระพุทธองค์จึงเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ทางประตูเมืองสังกัสสนคร เป็นการหยั่งจากเทวโลก (เทโวโรหณะ) เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ประชาชนต่างพร้อมใจกันมารับเสด็จและนำอาหารมาเพื่อทำบุญตักบาตรเป็นจำนวนมาก ประชาชนบางพวกอยู่ห่างไม่สามารถที่จะถวายอาหารใส่ลงบาตรได้ จึงนำข้าวสาลีมาปั้นเป็นก้อนแล้วโยนใส่ลงในบาตร จนกลายมาเป็นประเพณีนิยมที่ว่าจะต้องทำข้าวต้มลูกโยนเพื่อไว้ใส่บาตรในวันเทโวโรหณะ ข้าวต้มลูกโยนทำมาจากข้าวเหนียวห่อด้วยใบมะพร้าวไว้หางยาวๆ


วิธีตักบาตรเทโว
จะะอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนล้อเลื่อนที่บุษบก (บุษบก หมายถึง เรือขนาดเล็ก มียอด เคลื่อนที่ได้) และมีบาตรวางตั้งอยู่ด้านหน้า และจะมีคนลากล้อเลื่อนไปอย่างช้าๆ พระสงฆ์ก็จะเดินตามเรียงเป็นแถวส่วนพุทธศาสนิกชนก็จะนั่งเรียงเป็นแถว และนำข้าวต้มลูกโยนมาใส่บาตร ซึ่งในบางวัดอาจจะมีการจัดสถานที่เป็นแบบจำลองเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจริงๆ